ผู้แต่งคือ หยก บูรพา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๙
“อยู่กับก๋ง” เล่าถึงชีวิตความเป็นอยู่ของคนจีนที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยสมัยเริ่มแรก
ความสัมพันธ์ระหว่างคนจีนกับคนไทย
ชีวิตชาวห้องแถวในชนบท
นอกจากนั้นผู้แต่งได้พยายามสอดใส่ทัศนคติต่อชีวิต
สังคม วัฒนธรรมการดำเนินชีวิตและอาชีพของคนจีนที่ออกจากแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอนมาด้วยความหวังว่าอนาคตจะต้องดีกว่าอดีตและปัจจุบัน
ชีวิตก๋งบนผืนแผ่นดินไทยเป็นชีวิตของคนธรรมดาสามัญที่จากแผ่นดินบ้านเกิดมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร
ก๋งทำงานเลี้ยงชีพตนเองและผู้อื่นที่อยู่ในความรับผิดชอบอย่างจริงจัง
เอื้อเฟื้อต่อเพื่อนบ้าน
เกรงกลัวและรักษากฎหมายบ้านเมืองไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ารักษาขนบธรรมเนียมประเพณีและกฎแห่งกรรมตามคติความเชื่อแห่งจีนเก่า
และที่สำคัญก๋งมีความเข้าใจในความเป็นไทย
รักคนไทย
บำเพ็ญตนเยี่ยงพลเมืองดีตลอดชีวิตอันยากไร้
เทิดทูลองค์พระมหากษัตริย์ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
ก๋งได้พยายามถ่ายทอดความสำนึกดังกล่าวให้แก่หยกหลานชายคนเดียวของก๋งและคนอื่นๆ
ตามโอกาสอันควร
ขณะเดียวกันก๋งก็สงวนสิ่งที่ดีงามอันเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของประเทศบ้านเกิดเมืองนอน
เพราะก๋งเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีงามและไม่ขัดกับสิ่งแวดล้อมใหม่ที่ก๋งมาอยู่
และหยกจึงเป็นตัวแทนของเด็กชาวจีนที่เกิดในเมืองไทย
เมื่อได้รับการอบรมสั่งสอนจากผู้มีคุณธรรมเช่นก๋ง
หยกจึงเป็นตัวแทนของเด็กไทยเชื้อสายจีนที่ความสำนึกอย่างแน่นแฟ้นว่าเป็นคนไทย
“ฉันเก็บเครื่องนอนอย่างเรียบร้อยทุกครั้ง
เพราะก๋งพร่ำสอนฉันว่าสิ่งเหล่านี้มีคุณค่าต่อชีวิตของเราหมอนเป็นที่รองหัวซึ่งเป็นของสูงสุดในร่างกาย
เสื่อเป็นเครื่องรองให้เราพ้นจากความสกปรกของธุลีดิน
ผ้าห่มให้ความอบอุ่นและมุ้งกันเราให้พ้นจากการรบกวนของสัตว์ประเภทเลื้อยคลานและแมลง”
“คนที่ไม่เป็นระเบียบชีวิตจะยุ่งเหยิง
คนที่ไม่รักความสะอาดจะหาความสดชื่นแจ่มใสไม่ได้
และคนที่ไม่รักความสุจริตชีวิตจะมีมลทิน”
“ไม่ต้องอายที่เป็นคนจน
แต่ควรอายที่เป็นคนเลว
เพราะความจน ความรวยเราเลือกไม่ได้
แต่ความดีความเลวเราเลือกทำ
เลือกเว้นได้”
“เด็กห้องแถวกลางตลาดอย่างฉัน
ก็ต้องหัดทำงานได้สารพัดอย่าง
ไม่ว่างานหนักหรืองานเบา
มันเป็นความจำเป็นโดยมีความจนเป็นนายคอยชี้นิ้วบัญชา
ความดิ้นรนเป็นมือที่คอยผลักดัน
ความเพียรเป็นพี่เลี้ยงคอยพยุงไม่ให้ระทดท้อ...”
“คนที่ร่ำรวยแล้วยังไม่ยอมหยุดนิ่งละเว้นการสะสม
แล้วคนจนๆอย่างเราจะอยู่เฉยๆได้อย่างไร...”
“เทพเจ้าแห่งโชคดีไม่เคยเอื้อมมือมาแตะหน้าผากอวยชัยคนเกียจคร้านเลย”
“ก๋งเพียรสอนให้ฉันยอมรับความเป็นจริงของชีวิต
มีความมั่นใจในตัวเองและเข้มแข็งต่อการบุกบั่นเพื่อความอยู่รอด
ข้อคิดพื้นๆของก๋งทำให้ฉันเข้าใจฐานะที่แท้จริงของตนเอง
ทำให้ฉันเป็นสุขได้ในความขัดสนจนยากและไม่ท้อแท้”
“คนที่เขารวยได้น่ะเพราะเขามีโอกาสและมีความสามารถไม่ใช่ดวงดีแล้วจะร่ำรวยได้
ก่อนจะสร้างตัวได้สำเร็จเขาจะต้องผ่านการทำงานหนักมาแล้วด้วย
รู้จักหาเงิน
รู้จักเก็บออม
รู้จักคิดหาช่องทางต่อทุน
ฐานะของเขาจึงเป็นปึกแผ่นขึ้นมาได้
ไม่มีใครโชคดีถึงกับนอนขี้เกียจข้างถนนแล้วเทวดาจะโยนถุงเงินลงมาให้ถึงหน้าตัก”
“เขาไม่อยากเป็นเพื่อนกับเราก็ตามใจเขา
แต่อย่าโกรธหรือเกลียดชังเขา
ในโรงเรียนและในตลาดเรายังหาเพื่อนที่จะคบเราอย่างจริงใจได้อีกมากมายขอให้เราเป็นคนดีเท่านั้น”
“ปัจจุบันและอนาคตของบางครอบครัวก็คาดคะเนได้ไม่ยากเลย
เพียงแต่มองให้ลึกลงไปในตะกร้ากับข้าวที่เขาจ่ายตลาดมาเท่านั้นก็พอจะเห็นลางได้”
“ความยากจนเป็นดาบสองคมให้เราเลือกพลิกใช้
คมหนึ่งมันสอนให้เราเจียมตัว
รู้จักประมาณตนแต่อีกคมหนึ่งของมันสั่งให้เราทะเยอทะยานหาญเหิม
สุดแต่เราจะเลือกอยู่ในอำนาจบงการของคมใด”
“ความจริงของคนๆ
หนึ่งไม่ใช่ความจริงของคนทั้งหมด”
“คนที่มีวิชาติดตัวยากนักที่จะอับจน
แพ้คนยาก
และไม่เสียเปรียบใครด้วย
ถ้าไม่มีวิชาติดตัวเลยจะทำงานสูงๆ
อะไรก็ไม่ได้ต้องเป็นคนหาเช้ากินค่ำ
ติดอยู่กับดินกับทรายตลอดชีวิต
พยายามเรียนไปเถอะหยก
หมดสมองที่จะเรียนเมื่อไรค่อยหยุด”
“ฉันไม่เคยริษยาใครก็เพราะได้เรียนรู้จากก๋งว่า
คนเราเมือเกิดมาต่างสิ่งแวดล้อม
ต่างโอกาสและฐานะ
องค์ประกอบของชีวิตก็ต้องแผกกันออกไป”
“สิ่งที่เห็นเมื่อวานหรือวันนี้
พอถึงพรุ่งนี้มันก็จะเปลี่ยนไปเพียงแต่ช้าหรือเร็ว
เพียงบางส่วนหรือโดยสิ้นเชิงเท่านั้นเอง
ไม่มีใครเหนี่ยวรั้งความเปลี่ยนแปลงไว้ได้หรอก”
“เกิดเป็นคนทั้งทีต้องให้มีคนรัก
คนที่มีแต่ศัตรูหรือมีแต่คนชิงชังรังเกียจจะหาความสุขไม่ได้หรอกในชีวิตเขา
เพราะจะถูกสาปแช่งถูกปองร้ายอยู่ตลอดเวลา
ตัวเองก็มีความหวาดระแวงไม่สบายใจ
ผิดกับคนดีที่ได้รับคำยกย่องสรรเสริญซึ่งเป็นเหมือนปุ๋ยที่ทำให้ชีวิตเจริญงอกงามยิ่งๆขึ้น”
“ในตลาดของเราแห่งนี้มีชีวิต
ชีวิตที่ผกผันยิ่งกว่านิยาย
และชีวิตที่ราบเรียบ
จืดชืดเสียจนไม่มีใครจดจำนำไปเล่าสืบทอดให้ฟังต่อๆกันไปอีก
แต่มันก็เป็นชีวิตที่คนเราแต่ละคนต้องประสบพบพานอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงให้พ้นได้
จะมีก็แต่เพียงว่า
ใครจะโชคดีหรือโชคร้ายบนเวทีแห่งนิยายชีวิตเท่านั้น”